Search

หากพูดถึง Wizard หรือ พ่อมด บุคคลที่มีชื่อเสียงที่...

  • Share this:

หากพูดถึง Wizard หรือ พ่อมด บุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คงไม่พ้นพ่อมดเมอร์ลิน เพราะเขาเป็นทั้ง ผู้รู้ ผู้วิเศษ นักปราชญ์ ผู้ที่อยู่เหนือกาลเวลา และยังเป็นอาจารย์ของกษัตริย์อาเธอร์ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์อังกฤษ

หนังสือ The Way of the Wizard เขียนโดย Dr. Deepuk Chopra ซึ่งเป็น
เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย เป็นนักพูดและนักเขียนเกี่ยวกับทางด้านอายุรเวช, จิตวิญญาณ และการบำบัดทางร่างกายและจิตใจ

หนังสือ The Way of the Wizard ได้เล่าถึงประวัติศาสตร์พ่อมดที่โด่งดังและเก่งกาจที่สุดคนหนึ่งคือ พ่อมดเมอร์ลิน โดยเรื่องราวจะนำเสนอเกี่ยวกับคำสอนของเมอร์ลินที่สั่งสอนเจ้าชายอาเธอร์ตั้งแต่วัยเยาว์ จนกระทั่งขึ้นเป็นผู้ปกครองแคว้นอังกฤษ

โดยหลัก 11 คำสอนของเมอร์ลินมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

1. จิตของมนุษย์ทุกคนมีตัวรู้อยู่ภายในด้วยกันทั้งสิ้น

ตัวรู้นั้นจะตื่นอยู่เสมอ ไม่มีวันหลับใหล ตัวรู้จะเป็นสิ่งที่คอยเตือนสติเราอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่บอกเราว่า สิ่งใดควรทำ ไม่ควรทำ แต่ที่สำคัญคือเรามักไม่ค่อยฟังในสิ่งที่ตัวรู้เตือนเรา โดยตัวรู้นั้น จะแสดงออกมาเมื่อเกิดความสงบแต่ถ้าเราปราศจากความสงบ เราก็จะไม่สามารถเข้าถึงตัวรู้ของเราได้ ไม่รู้จักชีวิตอย่างถ่องแท้ มองไม่เห็นคุณค่าของชีวิต เพราะมองไม่เห็นความจริงของโลกได้อย่างชัดเจนนั่นเอง

2. การจะเป็นปราชญ์หรือผู้รู้นั้นต้องไม่มีภาพที่ตายตัวเกี่ยวกับตนเอง

การจะเป็นปราชญ์ต้องไม่มีการยึดติดในตัวตนหรือในภาพลักษณ์ของตนเอง ภาพของผู้รู้นั้นจะเป็นเพียงขณะหนึ่ง ๆ ในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ใช่ภาพที่ถาวรไปตลอดกาล และที่สำคัญตราบใดที่ยึดติดตัวตน ตัวรู้จะหายไปทันที

3. ส่วนใหญ่มนุษย์มักจะตัดสินตัวตนและภาพลักษณ์ของผู้อื่นจากความเชื่อ ประสบการณ์ และความจำของตนเอง

เช่น กษัตริย์อาเธอร์

- ในสายตาของลูกน้องเขาคือ เจ้านาย
- ในสายตาของภรรยาเขาคือ สามี
- ในสายตาของประชาชน เขาคือผู้ปกครองแคว้น

ซึ่งในทุกๆ สถานะที่พูดถึง ล้วนเกิดจากการที่มนุษย์สมมติขึ้นมา ดังนั้น การที่จะบอกว่าเราเป็นใครอย่างแท้จริงนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ซึ่งหากมองผ่านแนวคิดของผู้รู้ คือการไม่ตัดสินและไม่ยึดติดกับสถานภาพของคนๆนั้น เพราะยศถาบรรดาศักดิ์เป็นเพียงการสมมติขึ้นมาของสังคมหนึ่งๆเท่านั้นเอง และสถานภาพทุกอย่างล้วนไม่จีรังยั่งยืน พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

4. คำเพียงหนึ่งคำของปุถุชนสามารถกลายเป็นคาถาอันศักดิ์สิทธิ์เสมือนมนตราของผู้วิเศษได้

คำหนึ่งคำที่เปล่งออกมาประกอบด้วย ความรู้และเจตนา ซึ่งผู้วิเศษในตำนานนั้นมีการฝึกฝนพลังจิตและสมาธิให้ เข้มแข็ง แน่วแน่ ส่งผลให้คำพูดของเหล่าผู้วิเศษสามารถกลายเป็นคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ได้ หากเปล่งวาจาหรือคิดปรารถนาสิ่งใดอย่างแน่วแน่และด้วยความตั้งมั่นแล้วนั้น มันสามารถส่งผลให้เกิดเป็นความจริงได้

สิ่งสำคัญคือให้ระมัดระวังความคิดและคำพูด ให้พูดแต่เรื่องดีส่งผลในแง่บวก เพราะการย้ำคิดย้ำทำในสิ่งใดบ่อยๆ ก็เปรียบเหมือนกับการเพิ่มเจตนาให้เข้มแข็งทีละน้อยโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น หากเป็นความคิดและคำพูดในเชิงลบจะเป็นการแช่งตัวเองและผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว

5. ธรรมชาติและสิ่งต่างๆ ที่พบเห็น อาจไม่ได้เป็นเหมือนที่เรารับรู้ที่รับรู้

ต้นไม้ ลำธาร ภูเขา จริงๆแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย มันเป็นเพียงความว่างเปล่า เป็นเพียงสิ่งที่สมมติและตั้งชื่อมันขึ้นมา มนุษย์มักมองทุกอย่างจากความรู้เดิม จากความคาดหวังที่มีอยู่จากประสบการณ์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันซับซ้อนมากกว่านั้น เช่น ความสวยของหญิงชาวอัฟริกัน คือต้องมีห่วงที่คอ ชาวอินเดีย ต้องสมบูรณ์อ้วนท้วน หากเอาหญิงอินเดียให้คนอัฟริกันดู ในสายตาของพวกเขาย่อมบอกไม่สวยงาม ดังนั้น ความสวยความงามก็เป็นเพียงสิ่งสมมติอีกเช่นเดียวกัน และทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ ย่อมไม่มีความจีรังยั่งยืน ภูเขาย่อมมีวันทลาย สุดท้ายก็หายไปกลายเป็นความว่างเปล่า

6. ปุถุชนมักกลัวความตาย ผู้รู้เข้าใจถึงความตาย

ปุถุชนมองว่าความตายว่าเป็นความสูญเสีย แต่ในสายตาของผู้รู้ ความตายเป็นเพียงการที่ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงจากสภาวะหนึ่งไปสู่อีกสภาวะหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งความทุกข์ แต่ผู้รู้นั้นจะมองว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ถาวรซึ่งเป็นความจริงอันแท้จริง

7. ในคำว่าได้ มักมีคำว่าเสียอยู่ด้วยเสมอ

เช่น เมื่อแต่งงาน สิ่งที่ได้คือคู่ครอง แต่ที่เสียไปคือความเป็นอิสระ เมื่อมนุษย์เกิดความผิดหวัง มักมองโลกแต่ในด้านลบ มองแต่ในผลเสีย แต่แท้จริงแล้ว มนุษย์ไม่เคยได้สิ่งใดเลยมาตั้งแต่ต้น ในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถนำมาเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง ดังนั้น ไม่ควรเศร้าและผิดหวัง ในเมื่อเราก็ไม่ได้เสียอะไร เพราะมนุษย์ไม่เคยได้อะไรเลยมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

8. ปุถุชนมักจะตัดสินใจมอบความรักให้ผู้อื่นจากการมองแต่เพียงภายนอก

เมื่อยังหนุ่มยังสาวมนุษย์ทุกคนล้วนเบ่งบาน เราอยากครอบครองเธอหรือเขามาเป็นของๆเรา ซึ่งการมอบความรักให้ผู้ใดเพียงเพราะรูปลักษณ์เป็นสิ่งที่ไม่จีรัง และจะนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งนั้น ดังนั้น การจะมอบความรักแก่ใคร ต้องมองจากความดีภายใน และความรักที่ให้ต้องเกิดจากความปรารถนาดี มิใช่เพื่อครอบครอง ความรักเช่นนี้จึงจะยั่งยืน ถึงแม้ว่าคนที่เรารักจะตายไปแล้ว แต่ความปรารถนาดีเหล่านั้นก็จะคงอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป

9. เมื่อเผชิญกับความยากลำบาก ให้คิดว่าเป็นบททดสอบจากสวรรค์ ที่ฝึกให้เราอดทนและยอมรับในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้

เมื่อเจออุปสรรคให้คิดเสียว่าปัญหาในแต่ละครั้งเป็นโอกาสให้ได้พิสูจน์ตนเองและเป็นบทเรียนแก่ตนเอง หากสามารถข้ามผ่านไปได้จะทำให้เรามีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าได้รับบาดแผลก็ถือว่าเป็นภูมิคุ้มกัน

พ่อแม่ต้องสอนลูกหลานให้เห็นกรอบแห่งชีวิต พ่อแม่เป็นเพียงผู้ชี้ทางให้เห็นข้อดีข้อเสีย และชี้ให้เห็นผลที่จะเกิดขึ้น และให้ลูกคิดเองว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจะรับได้หรือไม่ เมื่อไปประสบปัญหาจะได้คิดแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง

10. ความปรารถนาของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดนี่คือสัจจธรรมของมนุษย์ แต่ผู้รู้จะอยู่เหนือความปรารถนาเหล่านี้

เมื่อปรารถนาสิ่งใดมากๆ แล้วไม่ได้มาก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ก็จะมีสิ่งที่ปรารถนาใหม่เข้ามาทดแทน แต่ตราบใดที่มีความปรารถนา ก็จะมีความร้อนลุ่ม หากมองเข้าไปลึกๆแล้ว ความปรารถนาเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า เพราะสุดท้ายสิ่งที่เราคิดว่าอยากได้มากๆในตอนนี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งสุดท้ายเราก็เบื่อหน่าย และก็ไม่อยากได้มันอีกต่อไป เพราะมีสิ่งใหม่ที่อยากได้มากกว่า วนเวียนเช่นนี้เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด

11. นรกและสวรรค์นั้นสามารถอยู่ในใจของเราได้

นรกหรือสวรรค์ อยู่ที่เราจะเลือกรับสิ่งใดเข้ามา มนุษย์สามารถจะเลือกว่าจะเอาสิ่งใดมาอยู่ในใจ ซึ่งเป็นสิทธิของเราเอง


Tags:

About author
not provided
ปรุงอาหารสมอง ปรุงอาหารความคิด ไปกับสาระศาสตร์
View all posts